วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องดีๆ ที่น่าอ่านของ poomai



บอกกล่าว
“ผลการกระทำในแต่ละช่วงวัยจะส่งผลกันเป็นทอดๆ”
    จะว่าไปแล้วช่วงชีวิตของคนเราตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าจะให้แบ่งก็คงแบ่งได้เป็น 3 ช่วงวัยด้วยกัน นี่เป็นมุมมองของตัวผมเอง ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างไปจากตำราอื่นๆ เพราะถึงยังไงมันก็คงหนีไม่พ้น 3 ช่วงวัยนี่แน่นอน ส่วนจะแยกแยะรายละเอียดมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ว่ากันไป


    ช่วงวัยที่ 1 วัยเตาะแตะ เริ่มตั้งแต่การรู้จักเรียนรู้ อายุ 1 ปี ถึง 30 ปี เป็นช่วงวัยของทุกคนที่ต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งด้านวิชาการและศึกษาเรียนรู้การดำเนินชีวิต เพื่อแย่งพื้นที่ให้ตนเองมีที่ยืน อาจจะเรียนจบมีการงานทำก็ส่วนหนึ่ง หรือยังหาพื้นที่ยืนไม่ได้ก็ต้องก็ต้องเตาะแตะเกาะพ่อแม่กินไปเรื่อยๆ เรียกง่ายๆว่าช่วงวัยนี้ส่วนใหญ่ในบ้านเราเมืองเราเอาชีวิตรอดยาก เป็นช่วงวัยที่ยึดเอาความสนุกเป็นส่วนสำคัญ มักจะทดลองหาสิ่งท้าทายเป็นการทดสอบความสามารถของตนเอง บางคนอาจจะสบโอกาสประสบความสำเร็จยึดพื้นที่ยืนได้เร็วก็โชคดีไป ส่วนจะคิดจริงจังกับการตั้งหลักปักฐานเพื่อให้ชีวิตมั่นคงนั้นมีน้อย



    ช่วงวัยที่ 2 วัยโตงเตง ช่วงวัย 30 ปี ถึง 60 ปี จะมีอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาให้เผชิญ เป็นบทพิสูจน์ความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ถือได้ว่าเป็นช่วงวัยที่ดีที่สุดของคนเรา เพราะการอยู่บนโลกนี้มา 60 ปี คงได้บทเรียนชีวิตมามากมายพอสมควร ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องดี เรื่องร้าย ความสุข ความทุกข์ รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ส่วนใครจะไปยืนอยู่จุดไหนของพื้นที่ที่แย่งชิงมาได้ สูง กลาง ต่ำ นั่นก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการชีวิตของแต่ละคน เพราะช่วงท้ายของวัยในอายุ 50 ปี ไปแล้ว ความกระตือรือร้นก็ลดน้อยลง อีกทั้งสภาพสังขารก็เริ่มร่วงโรย ยิ่งโรคภัยไข้เจ็บรุมล้อมด้วยแล้ว ก็จะเป็นการตัดโอกาสในการที่จะถีบตัวไปข้างหน้าให้น้อยลง เป็นช่วงวัยที่จะต้องตระหนักในการวางแผนชีวิตให้มากๆ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน และสุขภาพ จะได้ไม่ลำบากในช่วงวัยต่อไป ซึ่งมีแต่จะนับถอยหลังไปหาจุดจบของชีวิตเท่านั้น



    ช่วงวัยที่ 3 วัยเตรียมตัวตาย วัย 60 ปี ขึ้นไป ถือว่าเป็นช่วงวัยที่จะต้องได้หยุดพักผ่อนแล้ว หน่วยงานราชการก็ให้คนในวัยนี้ เกษียณ คือให้หยุดทำงาน เพราะถือว่าด้วยสภาพหลายๆ อย่าง ถึงแม้จะมีไฟอยู่แต่สภาพสังขารไม่เอื้ออำนวย สั่งสมประสบการณ์มามากพอแล้ว เรียกได้ว่าเป็นคนที่เต็มสมบูรณ์เกือบทุกสิ่ง ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ทรัพย์สินเงินทองที่สะสมมาในระหว่างทำงานคงพอจะเลี้ยงชีพได้ ด้วยวัยปูนนี้จะให้ไปดิ้นรนแย่งชิงพื้นที่อยู่ก็คงไม่ใช่แน่ สมควรที่จะได้พักผ่อนเพื่อใช้ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้อย่างมีความสุข ไม่เดือดร้อน และเป็นภาระให้คนอื่น ซึ่งในความคิดของตัวผมเองแล้วคิดว่า เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดอีกช่วงหนึ่งของชีวิต ที่จะบ่งบอกว่าเราจะสุข หรือทุกข์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการวางแผนชีวิตในวัยช่วงที่ 2 เป็นสำคัญ ซึ่งจะส่งผลมาสู่ช่วงวัยสุดท้ายของชีวิตให้ได้รับ





   จะมีสุข มีทุกข์ เพราะเราทำ
ใช่ว่าเกิดจากกรรมแต่ปางไหน
ความสุข ทุกข์นั้นเกิดจากใจ
สิ่งทั้งหลายเพราะเราทำกรรมจึงมา
    จะโทษฟ้า โทษดินใช่เรื่องถูก
ว่าความสุขทำไมไม่มาหา
ทั้งที่ทำแต่กรรมดีตลอดมา
อย่าลืมว่าสุขได้เพราะ ใจเรา
    ทุกสิ่งอย่างมีเหตุ ต้องมีผล
ถ้าวกวนไม่ค้นหาเสียค่าเปล่า
ตั้งสติตรึกตรองมองตัวเรา
จะมีสุข ทุกข์เศร้า เพราะเราทำ




 

     ชีวิตที่วุ่นวายในทุกวันนี้ มีมากมายที่บางครั้งแก้ไขได้ด้วยการปรับทัศนคติและวิธีคิดของเรา ถ้าคิดบวก ชีวิตก็บวก และพลังบวกก็จะเป็นแรงดึงดูดอยากให้ผู้คนอยู่ใกล้ ตรงข้ามกับผู้ที่คิดลบ ก็มักจะต้องใช้พลังมากกว่าปกติและเหนื่อยง่าย ลองนึกถึงข้อคิดดีๆ ในมุมบวกของท่าน ว.วชิรเมธี ดูบ้าง คิดว่าน่าจะได้บทสรุปในเรื่องนี้


    เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
    เวลาเจอปัญหาที่ซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
    เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
    เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
    เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
    เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
    เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
    เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตนเอง
    เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
    เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
    เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า...นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
    เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
    เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
    เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือบททดสอบที่ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด”
    เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม “ในวิกฤตย่อมมีโอกาส”
    เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
    เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์